วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Fun house วิมานอลเวง (บทนำ)



Fun house วิมานอลเวง
บทนำ
“หาได้แล้วเหรอ เร็วจัง”
“อื้อ บ้านสวยมากเลย แต่ราคาถูกสุดๆ พ่อเราแค่เห็นในรูป บวกกับราคาที่ถูกแสนถูก ก็ตกลงซื้อทันที ไม่เอะใจอะไรเลยซักนิด”
“แล้วบ้านมันพอดูได้มั้ยล่ะ”
“ก็โอเคนะ เป็นทาวน์เฮ้าส์สองหลังติดกันแต่มีรั้วกั้น นายหน้าบอกว่า ตอนสร้างเขาสร้างไว้ให้ลูกสองคนเลยสร้างติดกันหน่ะ”
“ถ้างั้นก็คงไม่ต้องกังวลอะไรมากหรอก แล้ววันนี้พ่อเธอจะไปช่วยย้ายบ้านรึเปล่า”
“เหอะ พ่อเรานะ ทำสัญญาเสร็จปุ๊ป ก็รีบบินกลับปั๊ป แถมยังบอกอีก ว่าถ้ามีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็จะให้ออกจากโรงเรียนไปอยู่ที่อังกฤษกับท่านทันที”
“ท่าทางพ่อเธอจะจริงจังด้วยสิ”
“อื้อ เธอก็รู้นี่ พ่อเราอยากให้เราไปอยู่กับท่านจะตาย งานยุ่งขนาดนั้นไม่มีวันจะมาดูแลเราแน่นอน ท่านเลยอยากให้เราไปอยู่ใกล้ๆ แต่จะให้เราทิ้งทุกอย่างที่นี่ไปเริ่มใหม่หมดในที่แบบนั้น เราก็ไม่เอาหรอก”
“นั่นสิน้า อีกปีเดียวแท้ๆ แต่มันก็แปลว่า นี่คือปีสุดท้าย ที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันแล้วสิ เศร้าจังเลย เธอขอพ่อเรียนมหาฯลัยที่ไทยไม่ได้รึไง”
“ก็เพราะแค่ปีเดียวไง พ่อถึงอนุญาต จะไปขอท่านมากกว่านั้น ดีไม่ดี จะไม่ได้อยู่เลยเอานะ”
“เฮ้อ น่ากลัวจังเลยนะ มีพ่อดุๆอย่างนี้เนี่ย อ๊ะ อาจารย์เข้าห้องแล้ว เดี๋ยวค่อยเมาท์ต่อแล้วกัน”
          เฮ้อ ชีวิตเด็กม.ปลายทำไมมันถึงได้ยุ่งยากอย่างนี้นะ ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยแท้ๆกลับต้องมาใช้ชีวิตอยู่บ้านคนเดียวตั้ง1ปี แล้วฉันจะอยู่ได้ม้ายยยยย อุ๊ย ลืมไป ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยล่ะ เด็กสาวแสนสวยผู้ที่มีชีวิตแสนอาภัพผู้นี้ มีชื่อว่า อร จ้า ด้วยความที่ท่านพ่อของฉันเป็นคนที่จริงจังกับชีวิตมาก ท่านทำงานหนักตลอดเวลา ไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว หลังจากที่แม่เสียไป พ่อก็เสียใจมาก ถึงขนาดขายบ้านทิ้งและขอย้ายไปทำงานในสาขาต่างประเทศ ท่านบอกว่าแค่คิดถึงเมืองไทย ท่านก็เสียใจมากแล้ว ท่านจึงจะไม่กลับมาที่นี่อีก(เป็นผู้ชายที่ดราม่าจัดจริงๆ= =*) ส่วนฉัน ก็มีแค่ทางเลือกเดียว คือต้องตามไปอยู่กับพ่อที่นู่น แต่คนดื้อๆอย่างฉันไม่ยอมหรอก สุดท้ายก็เลยขอท่านอยู่ต่ออีกปีหนึ่งได้สำเร็จ ที่เหลือก็แค่จัดของซึ่งพ่อให้บริษัทจัดส่งไปไว้ที่บ้านใหม่ของฉันก่อนแล้วเมื่อเช้านี้ ถึงจะยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะอยู่คนเดียวได้รึเปล่า แต่ปีนี้ต้องเป็นปีที่สนุกและท้าทายที่สุดในชีวิตฉันแน่
“อร! ได้ยินรึเปล่า เมื่อตะกี๊ครูรินบอกว่าจะมีนักเรียนชายย้ายมาใหม่ด้วย” และนี่คือมะปราง เพื่อนสนิทสุดแสบของฉัน พวกเราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่ม.ต้น ซี้ปึ๊กสุดๆเลยล่ะ
“จริงเหรอ เราไม่ค่อยตั้งใจฟังเท่าไหร่ แต่ย้ายมาม.หกแบบนี้  ทำไมน้า”
“สงสัยเหมือนกันอะ ย้ายมาโรงเรียนเอกชนตอนปีสุดท้ายอย่างนี้ ต้องมีปัญหาอะไรมาแน่ๆเลย”
“ไม่หรอก อาจจะปัญหาทางครอบครัว หรือไม่ก็เรื่องเกรดก็ได้”
“ยังไงก็แล้วแต่ สาธุ...ขอแค่ให้หล่อมากๆด้วยเถิด เพี้ยงๆๆ”
“เฮ้อ ยัยมะปราง ไม่ทันไรเลย ระวังไว้เหอะ ถ้าเขาไม่หล่อนะ เราจะหัวเราะให้ฟันหลุดเลย”
“อย่าสิ เดี๋ยวพิธีไม่ศักดิ์สิทธิกันพอดี”
“ฮ่าๆๆๆ”
“ว่าแต่ เย็นนี้ เธอจะให้เราไปช่วยขนของมั้ย”
“ไม่ต้องหรอก เราเองยังไม่เคยไปเลย ยังไม่รู้ว่าจะเดินทางลำบากรึเปล่า”
“เอางั้นก็ได้ ถ้างั้นจัดของเสร็จโทรมาบอกบ้างอะไรบ้างนะ คุณเพื่อนคนนี้เป็นห่วงจ้า”
“เจ้าค่า คุณเพื่อนที่รัก”
“ฮ่าๆๆๆ”

อยากลองเขียนนิยาย

จขกท.ไม่ได้เข้ามาดูบล๊อคนานนนมากกกก
แต่ช่วงนี้นึกฮึด อยากเขียนนิยายดูอะ แล้วก็ต้องคิดหนักเพระาว่า
เป้นคนที่ชอบแต่งค้างๆคาๆ ถ้าเอาไปลงDEK-D คงไม่ดี
เลยคิดว่าถ้าเอามาเก็บไว้ในบล๊อกคงดี ยังไงก็คงไม่หายไปไหน

ตอนนี้ตั้งเป้าหมายว่าอยากเขียนให้จบซักเรื่อง
แต่มีพล๊อตเรื่องอยู่ในใจเยอะแยะเลย แต่ละอันไม่เข้ากันซักอย่าง คงต้องแยกเรื่อง
แต่ว่าถ้าแยกเรื่องเขียน แล้วเมื่อไหร่จะจบละเนี่ยยยยย
เฮ้อ จขกท.พร่ำเพ้ออีกแล้ววววว

เด๋วจะลองเอามาลงซักสองสามตอน ดูซิว่าไงกันบ้างง....

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

Jared Lero's Biography




 ต่อๆ กำลังเพลินๆ มาต่อกันที่ประวัติของหนุ่ม Jared Leto กันนะคะ

Birth Name :Jared Joseph Leto
Nickname : J
Date of Birth :26 December 1971, Bossier City, Louisiana, USA
In the vein of musicians-turned-actors, Jared Leto is a very familiar face in recent film history. Although he has always been the lead vocals, rhythm guitar, and songwriter for American band 30 Seconds to Mars, Leto will always be remembered as an accomplished actor for the numerous, challenging projects he has taken in his life.

 

In 1992, Leto moved to Los Angeles to pursue a musical career, intending to take acting roles on the side. Leto's first appearances on screen were guest appearances on the short-lived television shows "Camp Wilder" (1992), "Almost Home" (1993) and "Rebel Highway" (1994). However, his next role would change everything for Leto. While searching for film roles, he was cast in the show, "My So-Called Life" (1994) (TV Series 1994-1995). Leto's character was "Jordan Catalano", the handsome, dyslexic slacker, but also the main love interest of "Angela" (played by Claire Danes). Leto contributed to the soundtrack of the film, and so impressed the producers initially that he was soon a regular on the show until it's end.


 In 2009, however, Leto returned to acting with his most ambitious film yet; Mr. Nobody (2009/I). Leto's role as "Nemo Nobody" required him to play the character as far aged as 118, even as he undergoes a soul-searching as to whether his life turned out the way he wanted it to. The film was mostly funded through Belgian and French financiers, and was given limited release in only certain countries. Critical response, however, has praised the film's artistry and Leto's acting.

 Jared Leto's story is a very charmed one, as he rose from television roles to film roles, to giving head-turning performances in famous projects alongside A-list casts. And all this on the side of his band, 30 Seconds to Mars. Certainly, it has not been easy for Leto, but he has earned his success and it will only fascinate to see what he does next.










Credid:
http://www.imdb.com/name/nm0001467/bio

Hephaestion



   ไม่รู้จะเปิดบล๊อคด้วยอะไรดี  พอดีดูรูปสวยๆในคอมแล้วเจอนี่  ^^^^ รูปของ Jared Leto ที่แสดงในเรื่อง Alexander (2004) สุดหล่อคนนี้เค้าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะว่า นอกจากจะเป้นนักร้องนำวง 30 Seconds to Mars แล้ว ยังเป็นนักแสดงฝีมือดี แสดงเป้นตัวหลักในภาพยนตร์คุณภาพมามากมาย

           แต่งานนี้เจ๋งสุดๆ เพราะว่าสุดหล่อของ จขกท. ได้รับบทหนัก ต้องแสดงเป็น Hephaestion/ Hephaistion สหายคนสนิทของ พระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช (King Alexander the Great) ซื่งในเรื่อง คุณเขาแสดงเป้น เกย์เจ้าข้าาา >< จากสุดหล่อ ตาใส ดูแล้วน้ำลายไหล กลายเป็น หนุ่มหน้าหวาน เบื้องหลังความสำเร็จของอณาจักรกรีกในอดีต


 Little is known of Hephaestion's personal relationships, beyond his extraordinarily close friendship with Alexander. Alexander was an outgoing, charismatic man, who had many friends, but his dearest and closest friend and confidant was Hephaestion.[1] Theirs was a friendship which had been forged in boyhood. It endured through adolescence, through Alexander's becoming king, through the hardships of campaigning and the flatteries of court life, and their marriages.


Besides being a soldier, engineer and diplomat, he corresponded with the philosophers Aristotle and Xenocrates, and actively supported Alexander in his attempts to integrate Greeks and Persians. Alexander formally made him his second-in-command when he appointed him Chiliarch of the empire, and made him part of the royal family when he gave him as his bride Drypetis, sister to his own second wife, Stateira, both daughters of Darius III of Persia. When he died suddenly at Ecbatana, Alexander was overwhelmed with grief.







ในภาพยนตร์ที่ จขกท.ได้ดูมา Alexander รัก Hephaestion มาก แต่ก็ต้องทรงอภิเษกกับเจ้าหญิงของอินเดีย(ถ้าจำไม่ผิด หรือไม่ก็แถวๆเอเชียเนี่ยแหละ)ด้วยความจำเป็นทางทหาร   นานวันเข้า พระชายาคงจะรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์นี่ผิดปกติของสามีตัวเองกับสหายคนสนิท ในที่สุด นางก็ได้วางยาพิษในอาหารของHephaestion ซึ่งได้ปลดชีพของเขาลง ในกรุงบาบีโลน(ถ้าจำไม่ผิด) อเลกซานเดอร์ ซึ่งกำลังประชุมอยู่ ทราบข่าวว่าHephaestionอาการหนัก ใกล้ตาย ก็รีบวิ่งมาดูใจ อย่างกระวนกระวาย ทั้งคู่บอกรักกัน ฉากนั้นเป็นฉากที่ซึ้งมากๆ จน จขกท. น้ำตาไหลพรากๆเลย เชือ่ว่าใครที่ได้ดูก็คงจะเป็นแบบเดียวกัน  หลังจากนั้นไม่นาน อเลกซานเดอร์ก็ตรอมใจตายตามไป ซึ่งช่วงวินาทีที่กำลังจำสิ้นลม ท่านมีมโนภาพ เห็น Hephaestion และได้ลาโลกไป ด้วยรอยยิ้ม ดูแล้วเศร้าจริงๆ



Credid:
http://www.imdb.com/character/ch0034660/
http://en.wikipedia.org/wiki/Hephaestion
http://www.imdb.com/name/nm0001467/